“เดอะด็อกเตอร์” วาเลนติโน รอสซี่ [Valentino Rossi] นักบิดอิตาเลียนวัย 41 ปี ยืนกรานว่าเขาต้องการลงแข่งขันอย่างน้อย 2-3 เรซ เพื่อเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองว่าดีพออยู่ในแถวหน้าหรือไม่ จึงจะตัดสินใจอนาคตของตนเองกับ โมโตจีพี [MotoGP] ขณะที่การแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรน่า กลับรุนแรงขึ้นต่อเนื่องจนฤดูกาลยังไม่อาจเริ่มต้นได้

ทีมโรงงานยามาฮ่า ตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการเซ็นสัญญานักบิดของพวกเขาในปี 2021-2022 โดยเลือกที่จะเก็บ มาเวริค บีญาเลส ไว้กับทีมต่อไป และดันเอาดาวรุ่งเฟรนช์อย่าง ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร ขยับขึ้นมาแทนที่ วาเลนติโน รอสซี่ นั่นหมายความว่าหลังจบฤดูกาลนี้ ดาวบิดอิตาเลียนวัย 41 ปี จะสิ้นสุดการ่วมงานในฐานะนักบิดทีมโรงงานกับ ยามาฮ่า

รอสซี่ มี 2 ทางเลือกเพื่อตัดสินอนาคตของตนเอง คือยังคงเซ็นสัญญาภายใต้เงื่อนไขนักบิดโรงงานของ ยามาฮ่า แต่ลงบิดให้กับ ปิโตรนาส ยามาฮ่า เอสอาร์ที ในปี 2021 หรือเลือกที่จะรีไทร์จากการเป็นนักบิดอาชีพ ที่ใช้เวลายาวนานถึงช่วง 4 ทศวรรษกับอายุของตนเอง

จากการทดสอบในช่วงพรี-ซีซั่น รอสซี่ และ ยามาฮ่า ยืนกรานอย่างชัดเจนว่าต้องการใช้การแข่งขันช่วงต้นฤดูกาล เพื่อดูผลงานของตนเอง และความคืบหน้าของรถแข่งรวมถึงความเร็วที่เขามี ว่ายังดีพอจะบิดต่อในโมโตจีพีหรือไม่ เพื่อสานต่อภารกิจการล่าแชมป์โลกสมัยที่ 10 และยืนหยัดในแถวหน้าต่อไป

อย่างไรก็ดี จากภาวะการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่เล่นงานโลกในขณะนี้ ทำให้การแข่งขัน โมโตจีพี ยังไม่สามารถออกสตาร์ทฤดูกาลได้ และดูเหมือนจะยังคงล่าช้าต่อไป เพราะการระบาดในยุโรปยังคงรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่คำถามถึงการตัดสินใจอนาคตของ รอสซี่ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ นักบิดอิตาเลียนทำได้เพียงเก็บตัวอยู่ที่บ้าน เตรียมร่างกายให้พร้อม แต่ยังไม่มีผลงานในสนามให้เขาได้ตัดสินใจแต่อย่างใด

รอสซี่ ให้สัมภาษณ์กับ สกาย สปอร์ต อิตาเลีย ยืนยันว่าสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เขาต้องติดอยู่กับบ้าน แทนที่จะได้เดินทางไปแข่งขันที่เมืองไทยในช่วงเวลานี้ 

“สิ่งนี้ทำให้แผนผมชะงัก เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ของผม เมื่อการแข่งขันสามารถเริ่มต้นได้ การระบาดนี้ดูเหมือนจะยังยาวนาน พวกเขาถึงขั้นต้องยกเลิกฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป” รอสซี่ เผยผ่านวีดีโอคอล

“เช่นเดียวกับทางเลือกของผม ผมหวังที่จะตัดสินใจเพื่อแข่งต่อหลังจบครึ่งแรกของฤดูกาล แต่ตอนนี้ทุกอย่างต้องชะงัก ผมต้องการสัก 2-3 เรซเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง ว่าจะสามารถก้าวต่อในแถวหน้าได้หรือไม่ ซึ่งนั่นคือสิ่งสำคัญ”