หลังจากที่เกิดปัญหายางแตกขึ้นกับ ลูอิส แฮมิลตัน, วัลเตรี บ็อตตาส และ คาร์ลอส ซายน์ซ ในช่วง 2 รอบสุดท้ายของ บริติช กรังด์ปรีซ์ โดย พิเรลลี ค่ายผู้ป้อนยางให้ฟอร์มูล่าวันออกมาเผยข้อมูลสาเหตุว่าเป็นเพราะ “ยางฮาร์ด” ถูกใช้งานนานเกินไปในรันที่ 2 ของเรซ จากกลยุทธ์พิตเดียวของแต่ละทีม

ยางหน้าของนักขับเมอร์เซเดส อย่าง บ็อตตาส เสียหายเป็นคนแรก ส่งผลให้เขาต้องเข้าพิตและร่วงลงไปจบเรซอันดับ 11 ขณะที่ ซายน์ซ ร่วงจากอันดับ 4 ไปจนถึงอันดับ 13 ทว่า แฮมิลตัน ที่ยางหน้าซ้ายแตกในรอบสุดท้าย สามารถเอาตัวรอดจากการไล่ล่าของ แม็กซ์ เวอร์สแท็พเพ่น ได้ 5 วินาทีเศษๆ

ลูอิส แฮมิลตัน เข้าเส้นชัยอันดับ 1 ทั้งที่ยางหน้าซ้ายแตก

ในวันอังคารที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา พิเรลลี ออกมาเปิดเผยสาเหตุที่ยางล้มเหลวในเรซที่ผ่านมา ว่าเกิดจากการวิ่งในรันที่ 2 ที่นานเกินไปกับยางชุดหนึ่ง หลังจากที่แทบทุกทีมเลือกกลยุทธิ์เข้าพิตครั้งเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากความเร็วที่เพิ่มขึ้นของรถแข่งฟอร์มูล่าวันในปีนี้

ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุให้มีรถแข่งยางแตกในช่วงเวลาเดียวกันมากที่สุด เท่าที่เคยเห็นในฟอร์มูล่าวัน

ในแถลงการณ์ ผู้ผลิตยางสัญชาติอิตาเลียน ระบุว่า “สาเหตุหลักของแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มาจากการที่ยางเซ็ตที่ 2 ถูกใช้งานนานเกินไป”

“การออกมาวิ่งครั้งที่ 2 ของ เซฟตี้คาร์ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทุกทีมคาดการณ์ว่าจะเปลี่ยนแผนการเข้าพิต ให้เหลือเพียงครั้งเดียว ด้วยระยะทางที่เหลือถึง 40 รอบสนาม ซึ่งมันเป็นอันตราส่วนมากกว่า 3 ใน 4 ของเรซเลยก็ว่าได้”

“และเมื่อบวกกับรถแข่งฟอร์มูล่าวัน ที่มีพัฒนาการความเร็วแบบก้าวกระโดดในปีนี้ (ตำแหน่งโพลเร็วกว่าเดิม 1.2 วินาที หากเทียบกับปี 2019) นั่นคือสาเหตุที่ทำให้รถบางคันในรอบสุดท้ายของ บริติช กรังด์ปรีซ์ เจอสถานการณ์ดังกล่าว และมันเป็นเหตุการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในเอฟวันเลย”