การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) อนุมัติงบประมาณ 252 ล้านบาท เพื่อจัดการแข่งขัน โมโตจีพี 2021 รายการ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 8-10 ตุลาคมนี้ แบ่งเป็นค่าลิขสิทธิ์ 100 ล้านบาท และ ค่าใช้จ่ายในการจัดงาน 152 ล้านบาท โดยนับเป็นงบสะสมของปีที่ผ่านมา พร้อมกำชับปรับรูปแบบเลี่ยง โควิด-19 เน้นกิจกรรมออนไลน์มากขึ้น ขณะที่ประชุมฯ ลงมติเดินหน้าหางบอีก 5 ปีหลังด้วย

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (บอร์ด กกท.) ครั้งที่ 2/2564 ที่ห้องประชุมวิจิตรวาทการ ชั้น 3 อาคารสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาเเห่งประเทศไทย (กกท.) และคณะกรรมการฯ ร่วมประชุม

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบอนุมัติใช้เงินสะสมของ กกท. เพื่อดำเนินการ ดังนี้ 1. สมทบค่าลิขสิทธิ์การจัดการแข่งขัน โมโต จีพี ประจำปี 2564 เป็นเงินจำนวน 100,000,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 ซึ่ง กกท.ได้รับจัดสรรงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ไว้แล้วแต่ไม่ได้ใช้จ่ายในปี 2563 จึงนำยอดคงเหลือทั้งหมดสะสมไว้เป็นเงินสะสมของ กกท. เพื่อสำหรับไว้ใช้จ่ายสมทบเป็นค่าลิขสิทธิ์ในปี 2564

2. ค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขัน โมโต จีพี ประจำปี 2564 เป็นเงินจำนวน 152,066,445 บาท ซึ่งเป็นกรอบวงเงินเดิมตามมติที่ประชุมคณะกรรมการ กกท. ครั้งที่ 11/2562 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2562 ได้ให้ความเห็นชอบให้ใช้เงินสะสมไว้แล้วเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขันของปีที่ 3 แต่ไม่ได้ใช้จ่ายในปี 2563 จึงนำยอดคงเหลือทั้งหมดสะสมไว้เป็นเงินสะสมของ กกท. เพื่อสำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขันฯ โดยรวมทั้งค่าลิขสิทธิ์เเละค่าดำเนินการจัดเเข่งขันในปี 2564 อยู่ที่ 252 ล้านบาท

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้ความเห็นชอบแนวทางในการจัดหางบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขันฯ ในปี 2565-2569 ซึ่งอ้างอิงจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2563 โดยให้ กกท. ขอรับการสนับสนุนจากภาคเอกชนเป็นลำดับแรก ซึ่งหากไม่เพียงพอ ให้ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความจำเป็นและเหมาะสมหรือขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ต่อไป

ขณะเดียวกัน ในที่ประชุมยังมีมติให้หาแนวทางการจัดงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์โควิด-19 เพื่อเลี่ยงการกระจายของเชื้อโรคให้มากที่สุด โดยเน้นให้มีกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น